การซื้อขายรถยนต์มือสอง หรือการส่งต่อรถให้คนในครอบครัว จะสมบูรณ์ตามกฎหมายก็ต่อเมื่อมีการ “โอนกรรมสิทธิ์”เปลี่ยนชื่อเจ้าของในเล่มทะเบียนเรียบร้อยแล้ว หลายคนกังวลว่าขั้นตอนนี้จะยุ่งยาก แต่หากเตรียมเอกสารไปครบ คุณสามารถดำเนินการเสร็จได้ภายในครึ่งวัน
รูปแบบการโอนรถ มี 2 แบบ
กระบวนการเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในรถยนต์จากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง การทำความเข้าใจรูปแบบการโอนและเตรียมเอกสารให้ถูกต้องจะช่วยให้การดำเนินการราบรื่นและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ปัจจุบัน การโอนรถยนต์มี 2 รูปแบบหลักที่นิยมใช้ คือ การโอนตรง และ การโอนลอย
1. การโอนตรง
การโอนรถแบบตรง คือ การที่ทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย (หรือผู้โอนและผู้รับโอน) เดินทางไปพร้อมกัน ณ สำนักงานขนส่ง เพื่อดำเนินการเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ให้เสร็จสิ้นในวันเดียวกัน ถือเป็นวิธีที่ปลอดภัยและโปร่งใสที่สุด
เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการโอนตรง:
- สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ(เล่มทะเบียนรถ): ตัวจริง
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน: ของทั้งผู้โอนและผู้รับโอน พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง
- สำเนาทะเบียนบ้าน: ของทั้งผู้โอนและผู้รับโอน (บางกรณีอาจใช้)
- สัญญาซื้อขาย/ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษี: เป็นหลักฐานการซื้อขาย
- แบบคำขอโอนและรับโอน: กรอกข้อมูลให้ครบถ้วนและลงนามโดยผู้โอนและผู้รับโอน
- หนังสือมอบอำนาจ: หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถมาดำเนินการได้ด้วยตนเอง พร้อมติดอากรแสตมป์และสำเนาบัตรประชาชนผู้รับมอบอำนาจ
2. การโอนลอย
การโอนลอย เป็นวิธีที่ผู้ขาย (เจ้าของเดิม) ไม่ได้เดินทางไปด้วย แต่จะเซ็นเอกสารมอบอำนาจและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ผู้ซื้อ (เจ้าของใหม่) นำไปดำเนินการโอนด้วยตนเองที่กรมการขนส่งทางบก วิธีนี้เป็นที่นิยมเนื่องจากประหยัดเวลาสำหรับผู้ขาย
เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการโอนลอย:
- สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ(เล่มทะเบียนรถ): ตัวจริง
- หนังสือสัญญาซื้อขาย: ฉบับจริง
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน: ของผู้โอน (เจ้าของเดิม) พร้อมเซ็นรับรองสำเนาถูกต้อง (อย่างน้อย 2 ฉบับ) และของผู้รับโอน
การโอนรถยนต์มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วยค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ทางกรมการขนส่งทางบกกำหนดไว้ ดังนี้
- ค่าคำขอ: 5 บาท
- ค่าธรรมเนียมการโอนรถยนต์: 100 บาท
- ค่าอากรแสตมป์: คิดเป็น 0.5% ของราคาประเมินรถ หรือ 500 บาทต่อราคาประเมินทุก 100,000 บาท (บางแหล่งระบุ 50 บาท ต่อราคาประเมิน 10,000 บาท ซึ่งมีค่าเท่ากัน)
- ค่าตรวจสภาพรถ: ประมาณ 50 บาท (โดยเฉพาะรถที่มีอายุเกิน 7 ปี) หรือบางแหล่งระบุประมาณ 200-300 บาท
- ค่าเปลี่ยนป้ายทะเบียน: 200 บาท (หากต้องการเปลี่ยนป้ายทะเบียนใหม่)
- ค่าเปลี่ยนเล่มทะเบียน: 100 บาท (กรณีเล่มทะเบียนเก่า ชำรุด หรือต้องการเปลี่ยนใหม่)
ขั้นตอนการโอนรถที่สำนักงานขนส่ง
การโอนรถยนต์ที่สำนักงานขนส่งเป็นกระบวนการที่ต้องเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้ เพื่อเปลี่ยนชื่อเจ้าของรถอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งสามารถทำได้ทั้งแบบไปด้วยกัน (โอนตรง) หรือแบบเซ็นเอกสารมอบอำนาจ (โอนลอย)
ขั้นตอนหลักในการโอนรถที่สำนักงานขนส่ง
1.เตรียมเอกสารให้พร้อม
- ก่อนเดินทางไปสำนักงานขนส่ง ควรตรวจสอบและเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เช่น
- สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (เล่มทะเบียนตัวจริง)
- บัตรประชาชนของทั้งผู้โอนและผู้รับโอน
- สำเนาทะเบียนบ้านของทั้งสองฝ่าย
- สัญญาซื้อขาย/ใบเสร็จรับเงิน
- แบบคำขอโอนและรับโอน (ดาวน์โหลดและกรอกล่วงหน้า)
- หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
- เอกสารอื่น ๆ ตามกรณี เช่น เอกสารรับมรดก
2.เข้าสำนักงานขนส่ง
- ไปที่สำนักงานขนส่งในพื้นที่ที่จดทะเบียนรถไว้
- แจ้งเจ้าหน้าที่ว่าต้องการดำเนินการโอนรถ
3. ยื่นเอกสารและชำระค่าธรรมเนียม
- ยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบความครบถ้วน
- ชำระค่าธรรมเนียมตามที่กำหนด เช่น ค่าธรรมเนียมการโอน ค่าธรรมเนียมออกเล่มใหม่ ค่าตรวจสภาพรถ ฯลฯ
4. ตรวจสอบและรับเอกสาร
- เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบความถูกต้องของเอกสาร
- อาจมีการตรวจสภาพรถในบางกรณี
- รับใบเสร็จรับเงินและเอกสารต่าง ๆ
5. รอรับเล่มทะเบียนใหม่
- หากทุกอย่างเรียบร้อย ทางสำนักงานจะดำเนินการเปลี่ยนชื่อในทะเบียน
- ใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับพื้นที่) สามารถมารับเล่มทะเบียนฉบับใหม่ที่มีชื่อผู้รับโอน
6. ตรวจสอบและรับเอกสาร
- เมื่อได้รับเล่มทะเบียนใหม่ ควรตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้อง เก็บรักษาเอกสารให้ดี
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
ควรตรวจสอบเอกสารให้ครบถ้วนและถูกต้องก่อนเดินทาง เพื่อป้องกันการเสียเวลาในกรณีใช้หนังสือมอบอำนาจ ควรแนบสำเนาบัตรประชาชนของผู้มอบอำนาจด้วย ควรสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและเตรียมเงินสดหรือบัตรเดบิต/เครดิตตามที่สำนักงานขนส่งกำหนด
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิง: กรมการขนส่งทางบก (Department of Land Transport)









