HINO

TAG – แหล่งรวบรวม ข่าวสาร ความเคลื่อนไหว สถานการณ์ บทวิเคราะห์ การทดสอบ และ สาระน่ารู้ รวมถึงเป็นสื่อกลางข้อมูลผลิตภัณท์ HINO

ICE, HEV และ BEV เปรียบเทียบรถยนต์ 3 แบบ คันไหนเหมาะกับคุณ?

ตลาดยานยนต์ไทยกำลังเปลี่ยนไป! ระหว่าง รถยนต์สันดาป (ICE) ที่คุ้นเคย, รถไฮบริด (HEV) สุดประหยัด, และ รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) แห่งอนาคต คุณจะเลือกคันไหน? บทความนี้จะพาคุณไป เปรียบเทียบรถยนต์ ทั้ง 3 ประเภทแบบ รถยนต์สันดาปภายใน (ICE: Internal Combustion Engine) รถยนต์แบบดั้งเดิมที่ใช้ เครื่องยนต์สันดาปภายใน ในการขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว หลักการทำงานพื้นฐานคือการเปลี่ยนพลังงานเคมีที่สะสมอยู่ในเชื้อเพลิง (เช่น น้ำมันเบนซินหรือดีเซล) ให้เป็นพลังงานกล โดยการผสมเชื้อเพลิงกับอากาศแล้วจุดระเบิดภายในกระบอกสูบ การระเบิดนี้จะสร้างแรงดันสูงผลักลูกสูบให้เคลื่อนที่ และพลังงานจากการเคลื่อนที่นี้จะถูกส่งไปยังเพลาข้อเหวี่ยง เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานหมุนที่ใช้ในการขับเคลื่อนล้อรถยนต์ จุดเด่น: เป็นเทคโนโลยีที่คุ้นเคยและพัฒนามาอย่างยาวนาน. มีโครงสร้างพื้นฐานรองรับอย่างสมบูรณ์ ทั้งสถานีบริการน้ำมันและศูนย์ซ่อมบำรุงที่หาได้ง่ายทั่วไป. ข้อสังเกต: จำเป็นต้องมีการบำรุงรักษาตามระยะอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง. มีการสูญเสียพลังงานไปกับความร้อนและแรงเสียดทานโดยเปล่าประโยชน์. รถยนต์ไฮบริด (HEV: Hybrid Elec

เบรกเฟด (Brake Fade) คืออะไร อันตรายแค่ไหน

เบรกเฟด (Brake Fade) อาการที่ระบบเบรกของรถยนต์สูญเสียประสิทธิภาพในการทำงานหรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “เบรกไม่อยู่” หรือ “เบรกจม” ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายอย่างยิ่งเพราะทำให้ระยะเบรกไกลขึ้นกว่าปกติ หรือในกรณีที่รุนแรงอาจไม่สามารถชะลอหรือหยุดรถได้เลยแม้จะเหยียบแป้นเบรกสุดแล้วก็ตาม อาการเบรกเฟดเป็นอย่างไร? เหยียบเบรกแล้วรู้สึกว่าแป้นเบรกจมลึกกว่าปกติ ต้องออกแรงเหยียบเบรกมากขึ้น เหยียบเบรกแล้วรถไม่ค่อยอยู่ รู้สึกว่ารถลื่นไถลไปข้างหน้ามากกว่าปกติ ได้กลิ่นไหม้ บริเวณล้อรถ ซึ่งเกิดจากความร้อนสูงของผ้าเบรกและจานเบรก อันตรายแค่ไหน? การเกิดเบรกเฟดหมายถึงการสูญเสียการควบคุมรถยนต์ในการหยุดรถ สถานการณ์ที่มักเกิดเบรกเฟด ได้แก่ ขณะขับรถลงเขาหรือทางลาดชันเป็นเวลานาน: การใช้เบรกอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดความร้อนสะสมสูง การเบรกกะทันหันด้วยความเร็วสูง: ทำให้ระบบเบรกต้องรับภาระหนักในทันที การบรรทุกของหนักเกินพิกัด: ทำให้ระบบเบรกต้องทำงานหนักขึ้นกว่าปกติ สาเหตุหลักของอาการเบรกเฟด     1.เฟดจากผ้าเบรกและจานเบรก (Friction Fade): เกิดจากการเสียดสีระหว่างผ้าเบรกและจานเบรกอย่างรุนแรงและต่อเนื่

วิธีเลือกเกียร์รถ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์รถติดไฟแดง

การเลือกเกียร์ให้เหมาะกับสถานการณ์รถติดไฟแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจราจรในเมือง การจอดติดไฟแดงบ่อย หยุดนิ่งนานๆ หรือขยับแบบช้าๆ ต้องใช้เกียร์อย่างไรถึงจะดีต่อระบบเกียร์และช่วยยืดอายุรถ วันนี้เรามีคำแนะนำมาฝากกัน กรณีหยุดรถไม่นาน (ประมาณไม่เกิน 1 นาที) เกียร์ D (Drive) เหมาะสำหรับการหยุดชั่วคราว เช่น รถติดไฟแดงไม่เกิน 1 นาที หรือจราจรเคลื่อนตัวช้า ๆ สลับหยุดเป็นช่วง ๆ ให้เข้าเกียร์ D แล้วเหยียบเบรกค้างไว้ได้เลย โดยไม่ต้องเปลี่ยนเกียร์บ่อย ๆ เพื่อถนอมระบบเกียร์และลดความสึกหรอ กรณีหยุดรถนาน (มากกว่า 1 นาทีขึ้นไป) เกียร์ N (Neutral) ควรเปลี่ยนไปใช้เกียร์ว่าง พร้อมดึงเบรกมือขึ้น เพื่อป้องกันรถไหลและลดภาระของระบบเกียร์ การใช้เกียร์ N ช่วยลดความร้อนสะสมในชุดเกียร์ และช่วยประหยัดน้ำมันมากขึ้น หลีกเลี่ยงการใช้เกียร์ P (Park) ขณะรถยังติดเครื่องและหยุดนิ่ง เพราะเกียร์ P มีระบบล็อกชุดเกียร์ไว้หากเปลี่ยนเกียร์ P ขณะรถยังเคลื่อนที่อยู่ อาจทำให้ระบบเกียร์เสียหายได้ การใช้เกียร์ P (Park) ใช้เฉพาะตอนจอดรถดับเครื่องยนต์ หรือจอดบนทางลาดชันเพื่อป้องกันรถไหล ไม่ควรใช้เกียร์ P ขณะรถยังติดเครื่องและหยุดนิ่งบนถนน

🦠รู้ทันโควิด! อัปเดตอาการสายพันธุ์XEC และวิธีดูแลตัวเองให้ปลอดภัย

สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญกับการระบาดของสายพันธุ์ใหม่คือ โอมิครอน XEC ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของโอมิครอน จุดเด่นของสายพันธุ์นี้คือแพร่กระจายได้รวดเร็วกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้าสถานการณ์ในประเทศไทยพบผู้ป่วยสะสมมากกว่า 71,000 รายหลังช่วงสงกรานต์ และกลุ่มเด็กอายุ 0-4 ปีเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีอัตราป่วยสูงที่สุด 📋อาการของผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ XEC คล้ายคลึงกับโควิดสายพันธุ์ก่อนหน้า ได้แก่ ◾มีไข้ ◾ไอ ◾เจ็บคอ ◾มีน้ำมูก คัดจมูก ◾ปวดกล้ามเนื้อ ที่สำคัญคือ ไม่มีอาการเฉพาะ อย่าง “ไม่ได้กลิ่น” หรือ “ไม่รู้รส” เหมือนที่เคยพบในช่วงแรกของการระบาด ทำให้แยกอาการจากไข้หวัดใหญ่หรือไข้หวัดธรรมดาได้ยากขึ้น จำเป็นต้องตรวจ ATK เพื่อยืนยันการติดเชื้อ 📍กลุ่มเสี่ยงที่ต้องระวัง ◾เด็กเล็ก โดยเฉพาะอายุ 0-4 ปี ◾ผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ◾หญิงตั้งครรภ์ ◾ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวาย ✅วิธีดูแลตัวเองให้ปลอดภัย ◾สวมหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะและที่แออัด ◾ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ ◾หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดหรือมีคนจำนวนมาก ◾

แอร์รถเหม็นอับ ในช่วงหน้าฝนเกิดจากอะไร?🌧️

ความชื้นสะสมในระบบแอร์ โดยเฉพาะในคอยล์เย็นและตู้แอร์ที่มีน้ำแอร์หยดสะสมรวมถึงไส้กรองแอร์ตันหรือสกปรก ทำให้อากาศไหลผ่านไม่สะดวกและเป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา แบคทีเรียและฝุ่นละออง นอกจากนี้ ช่องระบายอากาศที่อุดตันก็ทำให้เกิดการหมักหมมและกลิ่นเหม็นอับได้เช่นกัน 🔍สาเหตุหลักเกิดจาก? ● ความชื้นจากอากาศในหน้าฝนที่สูง ทำให้น้ำแอร์หยดและความชื้นสะสมในระบบแอร์ ● ไส้กรองแอร์ตันหรือสกปรกจากฝุ่นและสิ่งสกปรก ● ช่องลมแอร์มีคราบความชื้นและสิ่งอุดตัน ● ฝุ่นละอองและกลิ่นจากน้ำหอม น้ำยาดับกลิ่น หรือเศษอาหารในห้องโดยสาร ● ความชื้นจากการล้างรถหรือวิ่งรถในสภาพเปียกชื้นที่ระบายไม่หมด ✅วิธีป้องกันและแก้ไข ● เปลี่ยนไส้กรองแอร์ตามระยะเวลาที่กำหนด ● เปิดพัดลมแรงก่อนปิดเครื่องประมาณ 2-3 นาที เพื่อไล่ความชื้นในระบบแอร์ ● ทำความสะอาดภายในห้องโดยสารและดูดฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ ● จอดรถในที่แดดอ่อน เปิดประตู-หน้าต่างเพื่อระบายอากาศ ● ตรวจสอบและล้างทำความสะอาดคอยล์เย็นและช่องระบายอากาศ ● ใช้วัสดุดูดกลิ่น เช่น ถ่านหุงต้ม หรือเบกกิ้งโซดา เพื่อช่วยลดกลิ่นอับ การดูแลรักษาและจัดการความชื้นในระบบแอร์อย่างถูกวิธีจะช่วยลดกลิ่นอับในรถช

หน้าฝนนี้ ลุยน้ำยังไงให้ปลอดภัย?

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน อย่าประมาทหากต้องขับลุยน้ำท่วม วันนี้เรามีเทคนิคขับรถลุยน้ำท่วมมาฝาก ทั้งการประเมินระดับน้ำก่อนลุย และวิธีดูแลรถหลังลุยน้ำ เพื่อความปลอดภัยของคุณและรถที่คุณรัก 1.ประเมินระดับน้ำก่อนลุย น้ำไม่ควรเกินครึ่งล้อ (ไม่เกิน 30 ซม.) หากน้ำสูงเกินนี้ควรหลีกเลี่ยง เพราะเสี่ยงที่น้ำจะเข้าเครื่องยนต์หรือห้องโดยสารได้ โดยสังเกตจากรถคันอื่นที่ขับผ่าน หรือดูระดับน้ำเทียบกับฟุตบาท ถ้าท่วมถึงขอบประตู = หยุด! อย่าลุย หยุดรถทันทีและไม่ลุยต่อ เพราะน้ำอาจไหลเข้าห้องโดยสารและระบบไฟฟ้า ทำให้เครื่องยนต์ดับหรือเกิดความเสียหายได้ ควรโทรแจ้งประกันภัยหรือหน่วยช่วยเหลือ และหากน้ำเข้ารถ ให้ปิดแอร์ ปิดสวิตช์ไฟ และถอดแบตเตอรี่ออก (ถ้าทำได้) เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร 2.เทคนิคขับลุยน้ำ ใช้เกียร์ต่ำ / ลดความเร็ว สำหรับเกียร์กระปุกควรใช้แค่ เกียร์ 1  หรือ เกียร์ 2 สำหรับเกียร์ออโต้ควรใช้เกียร์L หรือ เกียร์ 1 พร้อมลดความเร็วให้อยู่ในช่วง 60-80 กม./ชม เพื่อรักษารอบเครื่องยนต์ 1,500-2,000 รอบ/นาที ลดโอกาสเครื่องยนต์ดับและป้องกันน้ำเข้าสู่เครื่องยนต์ เว้นระยะห่างจากคันหน้า การเว้นระยะห่างจากคันหน้าเมื่อขับรถล

เปลี่ยนใบปัดน้ำฝนแบรนด์ไหนตอบโจทย์รถคุณ? ACDelco vs DENSO

การเลือกใบปัดน้ำฝนที่เหมาะสมกับรถยนต์เป็นเรื่องสำคัญ เพราะใบปัดน้ำฝนที่ดีจะช่วยให้ทัศนวิสัยขณะขับขี่ปลอดภัยยิ่งขึ้น มาดูจุดเด่นของแต่ละแบรนด์ยอดนิยมอย่าง ACDelco และ DENSO เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น จุดเด่นของ ACDelco มี Universal Adaptor ที่ช่วยให้ติดตั้งได้กับรถหลายรุ่น โครงใบปัดน้ำฝนทำจากวัสดุที่ทนทานต่อแสงแดดและสภาพอากาศรุนแรง ใบปัดน้ำฝนมีความยืดหยุ่นสูง ปัดน้ำฝนได้เต็มประสิทธิภาพและเงียบเรียบลื่น ไม่มีสะดุด ใบปัดน้ำฝนของ ACDelco มีให้เลือก 2 แบบ คือ ใบปัดน้ำฝนแบบก้านแข็ง  และใบปัดน้ำฝนแบบก้านอ่อน เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการและรูปแบบของรถยนต์แต่ละรุ่น จุดเด่นของ DENSO ใบปัดน้ำฝนเคลือบกราไฟท์ (Graphite Coating) ช่วยลดแรงเสียดทานและรักษารูปทรงของยาง เทคโนโลยี Smoothing ช่วยให้แรงกดสม่ำเสมอ ปัดน้ำฝนได้ราบรื่นบนกระจกโค้งทุกรุ่น การตัดเนื้อยางแบบ Super Cut ทำให้เนื้อยางเรียบและปัดน้ำฝนได้หมดจด ทั้งสองแบรนด์มีคุณภาพสูงและเหมาะกับการใช้งานในสภาพอากาศของประเทศไทย การเลือกขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ใช้ เช่น หากต้องการความทนทานและติดตั้งง่าย ACDelco เป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าต้องการ

🌧เตรียมรถให้พร้อมก่อนลุยฝน เช็กอะไหล่สำคัญ ลดเสี่ยงอุบัติเหตุ 🚗🚨

เมื่อเข้าสู่ฤดูฝน การขับขี่รถยนต์ย่อมมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ทั้งจากทัศนวิสัยที่ลดลง ถนนลื่น และอุปกรณ์ในรถที่อาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ การเตรียมรถให้พร้อมรับมือกับสภาพอากาศจึงเป็นสิ่งที่เจ้าของรถทุกคนไม่ควรมองข้าม วันนี้เราขอแนะนำ 5 จุดสำคัญที่ควรตรวจเช็กก่อนลุยฝน 1.ใบปัดน้ำฝน ✅ตรวจสอบสภาพยางใบปัด หากปัดไม่สะอาดหรือมีเสียง ควรเปลี่ยนทุก ๆ 6 เดือน เนื่องจากยางปัดน้ำฝน ไม่เพียงแต่เสื่อมสภาพจากการโดนความร้อนและแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียว ยังมีการเสียดสีระหว่างยางกับกระจกอีกด้วย 2.น้ำยาฉีดกระจก ✅เติมน้ำให้เต็มเสมอ เพื่อช่วยล้างคราบโคลนหรือฝ้าบนกระจกแนะนำให้ตรวจเช็กระดับน้ำหม้อพักสำหรับฉีดกระจกบานหน้าและหลัง 3.ระบบไฟส่องสว่าง ✅เช็กไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว ไฟเบรก และไฟตัดหมอก ให้ทำงานได้ปกติทุกดวง เพราะแสงสว่างช่วยให้การมองเห็นชัดเจนขึ้น ทั้งในรถของตัวเองและสำหรับรถที่อยู่ด้านหน้าหรือคันที่ตามหลัง 4.ระบบเบรก ✅ตรวจสอบผ้าเบรกและการทำงานของเบรก โดยเฉพาะหลังลุยน้ำขัง เพื่อให้มั่นใจว่าหยุดรถได้อย่างปลอดภัย หากพบเสียงผิดปกติหรือเบรกไม่ตอบสนอง ควรเปลี่ยนทันที 5.ยางรถยนต์ ✅ตรวจดอกยางให้ลึกไม่น้อยกว่า

ใบขับขี่รถบรรทุก 2568 มีกี่ประเภท? ใช้แบบไหน ขับรถอะไรได้บ้าง

ใบขับขี่รถบรรทุก 2568 มีกี่ประเภท? ใช้ขับรถอะไรได้บ้าง ใบขับขี่รถบรรทุก 2568 มีกี่ประเภท ใช้แบบไหนให้ถูกต้อง ใบขับขี่รถยนต์ในประเทศไทยไม่ได้มีเพียงแบบเดียว โดยเฉพาะรถที่ใช้ในเชิงพาณิชย์หรือขนส่งสินค้าอย่างรถบรรทุก จำเป็นต้องใช้ใบขับขี่เฉพาะทางให้ตรงกับประเภทรถและลักษณะการใช้งาน ปี 2568 กรมการขนส่งทางบกยังคงกำหนดประเภทของใบขับขี่ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ประเภทของใบขับขี่รถบรรทุกในประเทศไทย (อัปเดต 2568) 1. ใบขับขี่ประเภทที่ 1 (บ.1 / ท.1) ใช้สำหรับ: รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ รถตู้ แท็กซี่ รถบรรทุก 4 ล้อ ที่ไม่ติดข้อบังคับเวลา ประเภท: บ.1 ใช้กับรถป้ายทะเบียนขาว (ส่วนบุคคล) ท.1 ใช้กับรถป้ายทะเบียนเหลือง (รับจ้าง) 2. ใบขับขี่ประเภทที่ 2 (บ.2 / ท.2) ใช้สำหรับ: รถบรรทุก 6 ล้อ รถบรรทุก 10 ล้อ รถบรรทุก 12 ล้อ (ไม่มีพ่วง) รถบัส และรถโดยสารประจำทาง ประเภท: บ.2 สำหรับรถป้ายขาว ท.2 สำหรับรถป้ายเหลือง หมายเหตุ: ใบขับขี่ประเภทที่ 2 สามารถใช้ขับรถในกลุ่มประเภทที่ 1 ได้ 3. ใบขับขี่ประเภทที่ 3 (บ.3 / ท.3) ใช้สำหรับ: รถพ่วง รถกึ่งพ่วง รถหัวลาก ประเภท: บ.3 สำหรับรถป้ายขาว ท.3